|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 3:18:35 GMT
☬ THE MISSION OF RADAMANTHYS ☬ [ラダマンシー - の使命] Intro : Guardians of Humannityในอวกาศอันมืดมิดและหนาวเหน็บอันไกลโพ้น...ระบบสุริยะแห่งหนึ่งมีดาวเคราะดวงหนึ่งเหมาะกับสิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ มนุษย์.......เดินทางมายังที่แห่งนี้ และได้ลงหลักปักฐานอยู่มาร่วม 300 ปีแล้ว
โลกสีครามใบเดิมที่คุ้นเคยกลายเป็นเพียงแค่ความฝันในนิทานก่อนนอนของเด็กๆ ที่พ่อและแม่เล่าให้ฟัง เท่านั้น โลกใบเดิมถูกทำลายไปหมดแล้ว จากน้ำมือของมนุษย์เองนี่แหละหลังจากที่หมดที่อยู่อาศัยและสิ้นหวัง มนุษย์โลกพากันอพยพมายังดาวอันแสนไกลแห่งนี้
Gliese 667Cc
คือชื่อของดาวดวงใหม่ที่ถูกตั้งขึ้นมา แม้สภาพอากาศที่นี่จะโหดร้ายและทารุณกว่าโลกเดิม แต่แค่มันสามารถจะอยู่อาศัยได้ก็ดีเกินพอ ด้วยแรงโน้มถ่วงมากกว่าโลกมนุษย์ 2 เท่า และออกซิเจนมีไม่มากพอ ดังนั้น มนุษย์จึงต้องอาศัยการอาศัยอยู่ในฐานซึ่งเป็นโดมปิดขนาดยักษ์ การออกนอกโดมจะต้องสวมชุดเดินทางที่ประกอบไปด้วยหน้ากากออกซิเจน เครื่องพยุงตัวต่อต้านแรงโน้มถ่วงและระบบปรับความดัน หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ขณะนี้มนุษย์ยังคงต้องอาศัยชุดอวกาศที่ถูกปรับแต่งให้สามารถใช้งานได้ภายนอกของตัวโดมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย
ปัจจุบันฐานทัพของมนุษย์บน Gliese มีอยู่ 3 แห่ง แต่ละแห่งมีบทบาทหน้าที่ไม่เหมือนกัน Radamanthys ทำหน้าที่ป้องกันภัยจากนอกอวกาศ ทั้งดาวหางและภัยคุกคามอื่นๆ Minos พัฒนาระบบนิเวศน์บนดาวดวงนี้ให้มนุษย์อาศัยอยู่ได้ แม้มันอาจใช้เวลานับร้อยปีก็ตาม Aiacos หาทรัพยากรที่จำเป็นนำมาแปรรูป และสำรวจพื้นที่ของดาวดวงนี้
ที่นี่ Radamanthys ฐานซึ่งทำหน้าที่ป้องกันภัยจากนอกอวกาศ และให้การสนับสนุนฐานทัพอีก 2 แห่ง เปรียบเสมือนกองกำลังหลักของมวลมนุษยชาติ พวกเรามีเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยและทรงพลัง ก่อนเดินทางออกจากโลก ฐานทัพของเราเป็นแหล่งรวมพลของนักรบและทหารผู้กล้าเอาไว้ด้วยกัน ระบบสังคมที่นี่ค่อนข้างจะมีระเบียบวินัยและเป็นระบบ อีกทั้งประชากรที่อาศัยอยู่ก็เคารพกฎเกณฑ์นั้นเป็นอย่างดี เราจำเป็นต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่เพื่อตัวของพวกเราเอง แต่เพื่อเหล่าเพื่อนมนุษย์ผู้อาศัยอยู่บนดาวดวงนี้
..........................................................................................
ภายในอาคารฝึกอบรมของ Radamanthys
ครูฝึกชายกำลังฉายภาพภารกิจตลอดระยะเวลากว่า 300 ปีที่ Radamanthys ได้ดำเนินมาโดยตลอด
บนพื้นผิวดวงดาว Gliese มีร่องรอยของอุกกาบาตจำนวนมาก เพราะดาวดวงนี้มีขนาดใหญ่กว่าโลกถึง 4 เท่าตัว แรงดึงดูดมากกว่าโลกใบเดิมกว่า 2 เท่า มันจึงดึงดูดอุกกาบาตปริมาณมหาศาลให้เข้ามาชนนับครั้งไม่ถ้วน เราจึงมีสถานีอวกาศถึง 3 แห่ง โคจรรอบ Gliese มีเจ้าหน้าที่ประจำการพร้อมยุทโธปกรณ์บางส่วนพร้อมปฏิบัติภารกิจ หน่วยวิเคราะห์ดาวหางบนสถานีอวกาศ SS1 SS2 และ SS3 จะวิเคราะห์วิถีโคจรของดาวหางที่เข้ามาใกล้ หากมันมีโอกาสพุ่งชน Gliese พวกเขาจะประเมินความเสียหาย หากจะเกิดความเสียหายขึ้น หน่วยยุทธวิทีจะหาทางออกให้
แถมภายในดาวดวงนี้ ยังมีอีกหลายสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องทำเพื่อทำการ Terraforming ให้มันเป็นบ้านหลังใหม่ บางครั้ง เมื่อมันเกินกำลังของ Aiacos หรือ Minos พวกเขาก็จะต้องมาพึ่งพาอาศัยกองกำลังของเรา ไม่ว่าจะเป็นการสะกัดกั้นการอพยพของฝูง Bullosaurus จำกัดอาณาเขตของ Lionosaurus และอื่นๆ อีกมากมาย
ครูฝึกปิดภาพฉายภารกิจเดิมๆ ก่อนจะกล่าวปิดการอบรมในวิชานั้นว่า "พวกเรา ในฐานะฝ่ายยุทธการ มีทำหน้าที่หลักในการวิเคราะห์ปัญหา หาทางแก้ไข และควบคุมปฏิบัติการ" "ไม่เคยตัดสินใจหรือดำเนินภารกิจผิดพลาด ดังนั้น พวกเธอที่เป็นกำลังยุคใหม่ จะต้องไม่ทำให้บรรพบุรุษผิดหวัง" "พวกเธอจะต้องมีความพยายาม ศึกษาหาความรู้ในทุกๆ ด้าน มองปัญหาให้ทุลุปรุโปร่ง แก้ไขปัญหาให้ถูกจุด"
"เพราะอนาคตความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ อาจอยู่ในกำมือของพวกเธอคนใดคนหนึ่งในห้องนี้ ในสักวันหนึ่งก็เป็นได้"
Classified : Science Fiction Genre : Alien Apocalypse , Mecha , Action , Romance , Drama Written by Senjumaru Presented by Moonlight® Little Sister Studio 2015
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 3:23:16 GMT
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 3:42:44 GMT
EP1 : Lancelot and Galahad ฐานทัพแห่ง Radamantys
เป็นแหล่งอาศัยของมนุษยชาติ 1 ใน 3 แห่งบนดาว Gliese 667CC ประกอบไปด้วยโดม 4 หลัง โดมทรงกลมครึ่งทั้ง 4 ถูกแบ่งออกเป็น เขตพักอาศัยของประชาชน เขตทหาร เขตซ้อมรบ และคลังสรรพาวุธ ทีนี่มีประชากรอาศัยอยู่นับล้านคน โดยส่วนมากจะเป็นทหารเพราะเป็นฐานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความมั่นคง คอยดูแลความปลอยภัยของและสนับสนุนภารกิจของฐาน Minos และ Aiacos รูปแบบสังคมจึงเป็นสังคมทหาร บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างอึมครึมและจริงจัง เพราะทุกคนถูกปลูกฝังมาให้ยึดมั่นในภารกิจและหน้าที่ของตน การบริหารงานภายในจะเป็นหน้าที่ของประธานาธิบดี ผู้ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน นอกจากจะเป็นผู้บริหารงานแล้ว ประธานาธิบดีเป็นผู้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกด้วย
กองกำลังของ Radamanthys มีทั้งทางบก และ ทางอากาศ แต่จะใช้กองทัพอากาศเป็นทัพหลัก ทัพอากาศนั้นถูกแบ่งออกเป็น 12 ฝูงบิน ได้แก่ Lancelot Gawain Geraint Percival Bors Lamorak Kay Gareth Bedivere Gaheris Galahad และ Tristan ถูกตั้งชื่อตามอัศวินโต๊ะกลมอันทรงเกียรติ แต่ละฝูงบินจะมี Ace Pilot ผู้บังคับการฝูงบิน เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจะขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่ผ่านมา ฝูงบิน Galahad ได้รับยกย่องว่าเป็นฝูงบินอันดับหนึ่ง นักบินทุกคนต่างก็ต้องการย้ายเข้าสังกัด ทว่างื่อนไขในการย้ายเข้าสังกัดฝูงบิน Galahad นั้นถือว่ายากมาก จึงรับประกันความฉกาจได้เป็นอย่างดี
แต่หลายๆ คนก็ไม่ได้ต้องการเช่นนั้น พวกเขาเพียงแค่ต้องการทำหน้าที่ปกป้องเพื่อนมนุษย์ได้ก็เกินพอแล้ว
...............................................................................
ช่วงเช้า ก่อนเวลาประจำการ ภายในโดมเขตกองทัพ
มันเป็นทุ่งกว้างๆ และมีหลุมศพของทหารจำนวนมากตั้งอยู่เรียงราย ทว่าไม่มีศพจริงฝังอยู่แต่อย่างใด เพราะศพทั้งหมด ถูกนำไปใช้เป็นพลังงานอินทรีย์ไปเสียหมดแล้ว ที่แห่งนี้จึงเป็นสถานที่อันทรงเกียรติ เด็กสาวผมสีส้มยางประมาณต้นคอ เธอสูง 165 c.m. รูปร่างผอมบาง หน้าตายิ้มแย้ม นัยน์ตาสีมรกตกลมโต ใบหน้าเรียวเล็ก สีหน้าสดใส ผิวขาวอมชมพูดูเปล่งประกาย อายุ 20 ปี ในมือของเธอถือดอกไม้ช่อใหญ่ พร้อมกับตะกร้าอาหารเทียมซึ่งตั้งขายอยู่หน้าสุสานสำหรับไหว้หลุมศพเพื่อเป็นเกียรติของผู้ลาลับโดยเฉพาะ แสงแดดเทียมที่ส่องลงมาจากจอภาพท้องฟ้าจำลองถูกติดอยู่บนเพดานโดมทรงกลมส่องลงมาสว่างไสว ลมอ่อนๆ ซึ่งถูกพัดออกมาจากช่องลม ทำให้เส้นผมที่ปรกใบหน้าของเธอปลิวสไวเห็นรอยยิ้มบางๆ เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงตัวสุสาน เธอกลับหยุดเดินแล้วพูดขึ้นเบาๆ "ในที่สุดก็มาหาคุณพ่อแล้วสินะ....พี่"
สุดปลายสายตาของเธอ เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าคมกริบ เส้นผมตรงสีดำ ผมของเขายาวประมาณต้นคอปรกหน้า เขาเป็นชายหนุ่มอายุ 21 ปี สูง 182 c.m. รูปร่างสมส่วน นัยน์ตาสีน้ำตาล ตาตี่เรียวยาว ใบหน้ารูปไข่ ดูเป็นคนจริงจังกับชีวิต สีผิวขาวเนียนอมชมพู เขากำลังลุกขึ้นจากหน้าหลุมศพ ดูเหมือนเขาจะวางดอกไม้ไหว้ศพเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หลุมศพนั้น เป็นหลุมศพที่สลักชื่อไว้ว่า "Manuel Valdus" เมื่อเขาหันกลับหลังมาก็ต้องผงะกับคนที่มายืนอยู่
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่มิเกล มาไหว้หลุมศพคุณพ่อจนได้นะคะ คุณพ่อต้องดีใจแน่ๆเลย" หญิงสาวผมสีส้มพูดขึ้น ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า มิเกล มองด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะตอบกลับไปว่า "เขาคงไม่ดีใจเท่าเธอมาหรอก" "เป็นยังไงบ้างล่ะ ซึบาสะ ได้ข่าวว่าเธอเข้าสังกัดฝูงบิน Lancelot ... เจ้าริงเก็ต กล้ามองหน้าเธอรึเปล่า" เมื่อได้ยินคำพูดของ มิเกล สีหน้าของ ซึบาสะ เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเธอแสดงถึงความแค้น "เรื่องมันผ่านไปแล้ว ปล่อยวางเสียบ้างนะ" มิเกล พูดพร้อมกับตบบ่า ซึบาสะ เบาๆ ก่อนจะเดินจากไป
ซึบาสะ กำดอกไม้ที่ถือมาจนเละ "ใครจะไปปล่อยวางได้กันล่ะ....หมอนั่นเป็นคนที่ทำให้คุณพ่อต้องตาย..."
อีกมุมหนึ่งของสุสาน
หญิงสาวเส้นผมสีดำตรงยาวสลวยถึงกลางหลังและไว้หน้าม้า ดวงตาสีแดงเข้มโฉบเฉี่ยว ใบหน้ารูปไข่ เธอสูง 170 c.m. อายุราว 30 ปี ผิวขาวออกเหลืองหน่อยๆ กำลังจับตามองการสนทนาของ มิเกล และ ซึบาสะ อยู่ ป้ายชื่อที่หน้าอกของเธอแสดงชื่อของเธอว่า ฮิคารุ ไชคอฟสกี้ พร้อมกับตราเกียรติยศมากมายที่อยู่รายล้อม บ่งบอกว่าเธอเป็นนายทหารผู้ที่มีฝีมือและสร้างผลงานเอาไว้มากมายให้แก่กองทัพ Radamanthys
"มิเกล วัลดัส....เด็กหนุ่มคนนี้เองสินะ ผู้บังคับการคนใหม่ของฝูงบิน Galahad....." เธอพูดออกมาเบาๆ
..............................................................
ลานพักผ่อนในตัวเมืองด้านในโดมพักอาศัย
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล ทรงชี้ไปชี้มาไม่เป็นระเบียบ ดวงโตตาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าเรียวเล็ก เขาสูง 178 c.m. อายุ 20 ปี ผิวขาวอมเหลืองแสดงความขี้เกียจออกมา เขานอนเล่นอยู่บนมานั่ง มือของเขาถืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพา หน้าตาเหมือน Tablet แต่ความสามารถของมันกลับทันสมัยมาก หน้าจอนั้นแสดงให้เห็นว่าเขากำลังอ่านบทความเกี่ยวกับภารกิจ M0487 การปลูกป่า Genesis Plant แม้ว่าบทความจะแสดงขึ้นเป็นตัวอักษร แต่มันก็มีเสียงบรรยายให้ฟัง และคนนี้เด็กหนุ่มก็ใช้หูฟังในการฟังอยู่ "ภารกิจล้มเหลว.... การขนย้ายรัง Phoenixaurus แทนการทำลายทิ้ง .... เจ้าหน้าที่เสียชีวิตทั้งหมด...." "ฟังดูแย่จริงๆ นะ....หัวหน้าภารกิจ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก....หมอนี่จะต้องเป็นหัวหน้าคนใหม่ของชั้นซะด้วยสิ"
ไม่นานนักก็มีชายหนุ่มอีกหนึ่งมายืนข้างๆ มานั่งที่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลนั้นนอนอ่านบทความอยู่ "คามิโจ ฟุบูกิ ใช่ไหม?" ชายคนที่เข้ามายืนค้ำหัวถามขึ้นดังสนั่น ทำเอาเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลต้องถอดหูฟัง "ใช่แล้ว มีอะไรงั้นหรอ" เขาเปลี่ยนอิริยาบทมาเป็นการนั่งแล้วมองชายที่เข้ามาทัก ดูเหมือนเขาจะไม่ปกติ เพราะร่างกายของของชายที่มายืนต่อหน้ามีอุปกรณ์สนับสนุนครึ่งซีกติดตั้งเอาไว้ เส้นผมของเขาเป็นสีน้ำเงินชี้ตั้ง ดวงตาสีเหลือง หางคิ้วของเขาตวัดขึ้น ใบหน้าเรียวปลายคางเหลี่ยมสีหน้ากวนๆ เขาสูง 181 c.m. รูปร่างล่ำสัน และเขาก็พูดต่อไปว่า "อากาศ แจ่มใส นักบินฝูงบิน Lancelot เห็นว่านายจะย้ายเข้ามาอยู่ฝูงบินเดียวกันนี่"
ฟุบูกิ ทำท่าทางนึกคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบไปว่า "อ้อใช่แล้ว...ว่าแต่ไอ้อากาศแจ่มใสที่ว่ามันคืออะไรหรอ" ชายคนนั้นกำหมัดกัดฟันแน่นราวกับอยากจะทุบหัว ฟุบูกิ ให้ยุบ "อากาศนั่นมันชื่อของชั้นโว้ย แจ่มใสคือนามสกุล" "ขอเตือนเอาไว้ก่อนเลยนะว่า ถ้าย้ายเข้ามาที่ฝูงบินเดียวกับชั้นแล้วล่ะก็ จะมาเหยาะแหยะไม่ได้เด็ดขาด" เมื่ออากาศ พูดจบเขาก็เดินออกไป ฟุบูกิ ขมวดคิ้วนิดๆ "เป็นนักบินแต่พูดยังกับเป็นผู้บัญชาการเลยแฮะ"
เมื่อเขาเห็นท่าทีของ อากาศ ที่เดินไปอย่างรีบร้อน ฟุบูกิ จึงมองดูเวลาที่หน้าคอมพิวเตอร์พกพา "ซวยละสิ ใกล้ได้เวลารายงานตัวแล้ว สายแน่ๆ รีบไปดีกว่า วันนี้วันแรกที่ย้ายเข้าไปซะด้วย" ฟุบูกิ พูด เขารีบลุกขึ้นแล้ววิ่งอย่างรีบร้อนแหวกฝูงชนซึ่งเดินกับขวักไขว่ตรงไปตามทางที่ อากาศ เพิ่งเดินไป แต่แล้ว ฟุบูกิ ก็ถูกแรงปะทะอัดเข้าด้านข้างขณะกำลังวิ่งจนเซล้มลงพร้อมๆ กับเจ้าของแรงปะทะที่เข้ามาชน
คอมพิวเตอร์พกพาของ ฟุบูกิ ลอยขึ้นกลางอากาศ ในขณะนั้นตัวเขาและผู้เข้าปะทะก็เอื้อมมือขึ้นไปรับไม่ให้มันหล่น เมื่อการเคลื่อนไหวหยุดลง มือของ ฟุบูกิ ไม่ได้จับคอมพิวเตอร์ของเขาไว้เลย แต่เป็นมือของผู้ที่มาเขาชนจนล้ม และคนคนนั้นก็คือ อะมาเทระ ซึบาสะ หญิงสาวรูปร่างบางดวงตาสีเขียว ผมบ็อบสีส้มคนนั้นนั่นเอง
เธอรีบสบัดมือออกจากมือของ ฟุบูกิ แล้วเอาคอมพิวเตอร์พกพายัดเข้าใส่มือของ ฟุบูกิ ก่อนจะลุกขึ้น ซึบาสะ หน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มวิ่งเพราะมันเริ่มจะสายแล้ว แต่ ฟุบูกิ รีบลุกขึ้นแล้วคว้ามือของเธอไว้ "เห้ยนี่นาย!! ชนคนอื่นเขาล้มไม่คิดจะขอโทษบ้างรึไงกันฟะ" ฟุบูกิ กระชาก ซึบาสะ จนเธอหันกลับมา เมื่อสายตาทั้งสองประสานกัน ซึบาสะ ก็พูดขึ้นว่า "ขะ....ขอโทษค่ะ....ชั้นรีบมาก....ขอตัวก่อนนะคะ" ฟุบูกิ อึ้งพูดอะไรไม่ออก เพราะเขาไม่คิดว่า ซึบาสะ เป็นหญิงสาว "บ้าน่ะ...ผู้หญิงหรอกหรอ ทำไม..."
ขณะที่ ฟุบูกิ กำลังมองดูหุ่นอันแบนราบของ ซึบาสะ ที่วิ่งจากไป เขาก็นึกขึ้นมาได้ "เวรละ สายแล้ว!!"
........................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 3:55:20 GMT
ณ ห้องรวมแห่งหนึ่งพลภายในอาคารของกองทัพ
หน้าห้องได้เขียนบรรยายเอาไว้ว่ามันเป็นห้องรวมพลและวางแผนของสมาชิกฝูงบิน Galahad อันเลื่องชื่อ นักบินจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน นั่งประจำที่นั่งของตัวเอง มันเป็นเก้าอี้ที่มีแผงพับด้านหน้าเอาไว้จดข้อมูล และแผงพับนั้นฝังจอ Monitor ระบบสัมผัสซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เอาไว้ในตัว แต่ละตัวมีการกำหนดชื่อของเจ้า ด้านหน้าของแผงเอากี้ที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ มีหน้าจอขนาดยักษ์ติดผนังเอาไว้แสดงแผนยุทธวิธีการรบ ชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ผมยาวสีทองหยักศกถึงบ่า ใบหน้ายาว คางเหลี่ยม นัยน์ตาสีเหลือง ดวงตาดูดุร้าย รูปร่างสูงโปร่งมีกล้ามเนื้อ เขามีส่วนสูง 185 c.m. อายุ 21 ปี ผิวขาว เขาทุบแผงพับของตัวเองอย่างแรงและลุกขึ้น "นี่มันใกล้ได้เวลารวมพลแล้วนะ วันนี้เป็นวันที่ผู้บังคับการคนใหม่จะมาปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่รึยังไง" ชายคนนั้นพูดขึ้น
หญิงสาวผมยิ้มส่ายหัวเบาๆ เธอก็คือ ฮิคารุ ไชคอฟสกี้ ผู้ที่ยืนฟังบทสนทนาของ มิเกล กับ ซึบาสะ ที่สุสานนั่นเอง เธอพูดปรามชายผมทองที่อารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นว่า "ใจเย็นๆ น่า มาร์คัส วันนี้ยังไงก็คงไม่มีงานอะไรหนักหนาอยู่แล้ว" เด็กหนุ่มท่าทางผู้ดีจึงพูดเสริม ฮิคารุ ขึ้นว่า "อย่างที่รุ่นพี่ไซคลอปว่านั่นแหละครับ จะรีบร้อนไปก็เท่านั้น" เด็กหนุ่มคนนั้นเรียก ฮิคารุ ไชคอฟสกี้ ว่า ไซคลอป เพราะเป็นฉายาของเธอจากภารกิจมากมายที่เธอรอดมาได้ทุกครั้ง "เงียบไปเลย เอเรียส" มาร์คัส ตอบกลับเด็กหนุ่มท่าทางผู้ดีผู้มีเส้นผมสีแดงส้ม ด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก
เด็กหนุ่มผมสีแดงนั้น อายุ 19 ปี เขาไม่สูงมากนัก ส่วนสูง 172 c.m. นัยน์ตาสีเหลือง ดวงตาบ่งบอกความหลักแหลม ทรงผมของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ยาวมากนัก ไม่ไว้รากไทร แต่ผมด้านบนขาวปรกหน้าผาก ใบหน้ากลมคางแหลมผิวขาว จมูกของเขาเล็ก ดั้งจมูกไม่ได้โด่งมากนัก ป้ายชื่อของชุดนักบินของเด็กหนุ่มคนนี้แสดงให้รู้ว่าเขาชี่อ เอเรียส ซีวิโอเลีย เอเรียส ซีวิโอเลีย พูดสวนกลับไปว่า "การจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ต้องควบคุมอารมณ์ให้เป็น ทางบ้านผมสอนเอาไว้"
ส่วนหญิงสาวอีกคนจะลุกขึ้นด้วยท่าทางเหมือนคุณหนู เธอเดินไปอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าแล้วแง้มประตูออกไปดูด้านนอก มาร์คัส ยิ้มอย่างพอใจ "ดูท่า วิมีน่า จะคิดเหมือนชั้นสินะ คราวก่อนก็อัดผู้บังคับการที่มาสายหมอบไปคนนึงแล้ว" หญิงสาวผมสีฟ้าอมม่วงยาวตรงถึงกลางหลัง ไว้ผมปรกหน้าผาก ใบหน้าเล็กเรียวสระสวย เธอสูง 169 c.m. รูปร่างผอม นัยน์ตาสีแดง ดวงตาอ่อนหวาน แต่สีหน้าของเธอกลับดูร้ายกาจอย่างไม่น่าเชื่อ ผิวของเธอขาวเนียนสวยอมชมพู หญิงสาวคนนี้ยืนอยู่ตรงประตู เธอยิ้มแล้วตอบกลับมาร์คัสกลับมาว่า "ก็ต้องลองดูหน่อยว่าคนนี้จะคุมชั้นอยู่รึเปล่า"
บรรยากาศของฝูงบิน Galahad ที่ดูตึงเครียดและเคร่งครัด แฝงไว้ด้วยการชิงดีชิงเด่นเริ่มครุขึ้น นักบินคนอื่นก็เริ่มพากันจับกลุ่มสนทนาเกี่ยวกับผู้บังคับการคนใหม่ที่จะมารายงานตัวในวันนี้กันอย่างอึกทึก บางคนมองว่าไม่มีใครควรสั่งการฝูงบินตนนอกจากผู้บัญญาการทหารสูงสุด บางคนมุ่งไปที่ตัวผู้บังคับการคนใหม่ และประเด็นของผู้บังคับการคนใหม่ดูจะเข้มข้นกว่า นอกจากเขาจะอายุน้อย ยังเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นมาก ฮิคารุ ไชคอฟสกี้ ผู้ที่มีประสบการณ์และดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุดยังคงนั่งนิ่งไม่สนใจใคร ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ ภายในใจของเธอก็กำลังเดาอยู่เช่นกันว่า หนุ่มคนนั้นจะจัดการตัวแสบอย่าง วิมีน่า เธรมริล และมาร์คัส อย่างไร
ทันใดนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก กลุ่มนักบินที่จับกลุ่มกันสนทนากับเมื่อครู่ก็เงียบลงราวกับถูกกดปุ่ม Mute อิริยาบทที่ดูสบายๆ ก็พลิกกลับมาเป็นการนั่งนิ่งตัวตรงตามที่ระเบียบทหารกำหนดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่เมื่อ มิเกล วัลดัส ชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์เดินเข้ามาในห้อง วิมีน่า ก็พุ่งเข้าชาร์จตัวเขาอย่างรวดเร็ว เธอใช้ขาขัดการก้าวเดินของ มิเกล ก่อนจะง้างศอกขวาเสยเล็งไปที่ปลายคางท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่จับจ้อง ทว่า มิเกล กลับหยุดขาตัวเองเอาไว้ได้ทัน เขาเอี้ยวตัวหลบไปด้านขวาของ วิมีน่า แล้วโยกตัวไปด้านหลัง ในพริบตา มิเกล หยุดศอก วิมีน่า เอาไว้ด้วยมือขวา ราวกับการโอบกอดร่างของเธออย่างอ่อนโยนจากด้านหลัง
"คุณคิดจะทำอะไร วิมีนา วูลู วองซ์ เธรมริล" มิเกล ถามขึ้นโดยที่เขายังไม่ปล่อยมือและตัวของเธอ ทันทีที่ วิมีน่า เหลือบไปเห็นใบหน้าอันชวนหลงใหลของ มิเกล หน้าของเธอก็เริ่มแดงและตอบแบบเขินๆ ว่า "ก็เพราะนายมาสายน่ะสิ เป็นผู้บังคับการประสาอะไร ปล่อยให้ลูกน้องต้องมานั่งรอแบบนี้..ชะ...ใช้ไม่ได้" มิเกล ค่อยๆ ปล่อยมือของ วิมีน่า ที่เขาล็อคไว้ออก แล้วตอบกลับ "ผมก้าวขาขวาเข้าห้องนี้ก่อนขาซ้าย" "และขาซ้ายของผมพ้นขอบประตูก่อนเวลาจะเปลี่ยนเป็น 8 นาฬิกา 30 นาที ดังนั้น ผมจึงไม่ได้มาสาย" ฮิคารุ เห็นดังนั้น ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วทำความเคารพ "ยินดีต้อนรับท่านผู้บังคับการฝูงบิน มิเกล วัลดัส ค่ะ" เมื่อพูดจบ มิเกล รับการเคารพด้วยวันทยาหัตถ์ ฮิคารุ จึงรีบไปพา วิมีน่า กลับเข้าที่นั่งข้างๆ เธอทันที และทุกคนก็ลุกขึ้นทำการเคารพด้วยวันทยาหัตถ์ตาม ฮิคารุ ราวกับเธอเป็นหัวหน้าห้องเรียนก็ไม่ปาน
มิเกล เดินมาหยุดที่หน้าจอภาพหน้าห้อง เขากวาดสายตายไปรอบๆ เพื่อสังเกตสมาชิกในฝูงบินทุกคน "ทุกท่านคงทราบดีแล้วว่า ชื่อของผมคือ มิเกล วัลดัส นับตั้งแต่นี้ต่อไปผมคือเป็นผู้บังคับการฝูงบินนี้" "Galahad เป็นฝูงบินที่มีชื่อเสียงมากที่สุด แถมมีเอกลักษณ์ที่การยึดมั่นในกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด" "ผมทราบดีว่าพวกเรามีธรรมเนียมที่ยึดถือกันมายาวนานอย่างหนึ่งคือ ลูกน้องสามารถลงโทษเจ้านายได้" "หากเจ้านายกระทำผิดกฎระเบียบ....ซึ่งเมื่อครู่คุณวิมีน่า เธรมริล ก็ได้แสดงตัวอย่างให้ผมดูชัดเจนแล้ว" "และผมคิดว่ามันก็ดูสมเหตุผลดี ดังนั้น ผมจะไม่ขอเปลี่ยนธรรมเนียมใดๆ ขอให้ทุกคนทำตามกฎต่อไป" "หากใครข้องใจ หรือไม่พอใจอะไรในตัวผม ขอให้กล่าวออกมา ณ ที่นี้ หากใครเห็นว่าผมไม่เหมาะสม" "อยากรู้ว่าผมดีพอจะเป็นนายของคุณหรือไม่ เชิญพวกคุณออกมาทดสอบตอนนี้ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ" "คุณมาร์คัส......คุณซีวิโอเลีย......พวกคุณมีอะไรอยากทดสอบผมหรือไม่?....." มิเกล ถามขึ้น
คำถามนั้นทำเอา มาร์คัส และ เอเรียส ซีวิโอเลีย กลืนน้ำลายแทบไม่ทัน เพราะพวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่า เพียงแค่ชั่วพริบตา มิเกล สามารถรับรู้ได้ว่าใครบ้างที่ไม่พอใจ หรือข้องใจในความสามารถของตัวเขา เมื่อเห็นท่าที การพูดจา และสิ่งที่ มิเกล แสดงออกมา โดยเฉพาะการหยุดจอมโหดแบบ วิมีน่า ได้ง่ายๆ พวกเขาก็ได้แต่นั่งนิ่งไม่พูดจาหรือแสดงอาการอะไรออกมาอีกเลย แต่ทางด้าน วิมีน่า นั้นต่างออกไป เธอจ้อง มิเกล ตาไม่กระพริบ หน้าเธอแดงนิดๆ ในใจของเธอกำลังคิดว่า "เมื่อกี้นี้ชั้นทำอะไรลงไป...ยัยบ้าเอ้ย" มิเกล มองกลับไปที่ วิมีน่า เขาคิดในใจราวกับอยากบอกเธอว่า "เธอคิดอะไรอยู่กันแน่ ท่าทางถึงดูสับสนแบบนี้"
"เอาล่ะ ถ้าไม่มีใครขัดข้องอะไรแล้วล่ะก็ ผมหวังว่าพวกเราคงทำงานร่วมกันได้ดี" มิเกล พูดปิดท้าย
.........................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 3:55:56 GMT
ห้องรวมพลอีกห้องหนึ่งในฐานทัพ Radamanthys
ฟุบูกิ รีบวิ่งตามทางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้อง มันเป็นห้องคล้ายห้องของฝูงบิน Galahad และแน่นอนว่าห้องนี้เป็นห้องของฝูงบิน Lancelot ที่ ฟุบูกิ ต้องมารายงานตัว ทว่าบัดนี้เขามาสาย "บ้าจริง นี่แค่วันแรกก็สายซะแล้ว เข้าไปจะโดนอะไรบ้างวะเนี่ย แฮ่ก แฮ่ก..." เขาบ่นไปหอบไป ก่อนที่ คามิโจ ฟุบูกิ จะตัดสินใจรวบรวมความกล้าเปิดประตูห้องเข้าไปรับชะตากรรมการลงโทษ
แต่เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป ก็พบว่านักบินทุกคนกำลังคุยกันบ้าง กินอาหารเช้าบ้าง นั่งเหม่อลอยบ้าง ในขณะที่ผู้บังคับการฝูงบินนั่งบนเก้าอี้หมุนได้หน้าห้อง แต่หันหลังให้กับประตูทางเข้าที่ ฟุบูกิ เข้ามา "คามิโจ ฟุบุกิ เจ้าหน้าที่ฝ่ายยุทธการ รายงานตัวเข้าปฏิบัติหน้าที่ ขออภัยที่มาช้าครับท่านผู้บังคับการ" "............" ฟุบูกิ รายงานตัวเสร็จก็ยังดูเหมือนผู้บังคับการฝูงบิน Lancelot ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้เลย จนหญิงสาวคนหนึ่งลุกขึ้นแล้วตะโกนลั่นว่า "ท่านผู้บังคับการรีเซ็นเบิร์กคะ!! คามิโจ ฟุบูกิ มาแล้วค่ะ!!"
คำพูดนั้นทำเอา ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ที่แอบนั่งหลับสะดุ้งตื่นแล้วด้วยท่าทางงัวเงีย ก่อนจะหันกลับหลัง เขาเป็นชายอายุ 45 ปี ใบหน้ามีริ้วรอยและมีแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ขมับข้างซ้าย รูปหน้ายาวเหลี่ยมสัน ริงเก็ตสวมหมวกทหารและแว่นตาดำ ผมสั้นตามระเบียบ ผมหงอกสีขาวทั้งหัว สูง 180 c.m. รูปร่างกำยำ "อ้าวมาแล้วเรา คามิโจ ฟุบูกิ.....Lancelot ยินดีต้อนรับ...เอ้านั่งๆๆๆๆ วันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ตามสบายๆ"
คำพูดของ รีเซ็นเบิร์ก ทำเอา ฟุบูกิ ถึงกับแปลกใจ เพราะเขาคิดว่าการมาสายจะต้องถูกลงโทษแน่ๆ แต่นี่กลับไม่ใช่แค่ไม่ลงโทษ เขากลับเจอสภาพแวดล้อมอันแสนจะเรื่อยเปื่อยเหมือนนั่งเล่นอยู่บ้าน ฟุบูกิ เดินเข้าไปในแถวเก้าอี้ ก่อนที่เขาจะนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่ และข้างซ้ายก็มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ "เอ๋!! นี่เธอ.... เธอคนเมื่อเช้านี่นา" ฟุบูกิ ประหลาดใจเมื่อพบกับ ซึบาสะ อีกครั้งในฝูงบิน Lancelot ซึบาสะ ก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน "อ้าว นี่มันนายหัวฟูซุ่มซ่ามนี่นา.....อะมาเทระ ซึบาสะ ยินดีที่รู้จักนะ"
ระหว่างที่ ซึบาสะ กับ ฟุบูกิ ทำความรู้จักกันอยู่ อากาศ แจ่มใส ก็โผล่หน้าเข้ามาตรงกลางพอดี "ว่าไงเจ้าปวกเปียก ยินดีต้อนรับ....ถึงคนอื่นจะดูเหลาะแหละ แต่เขาก็ไม่สายนะ" อากาศ ถามขึ้น ฟุบูกิ เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ "ว่าแต่....นายเป็นใครอย่างนั้นหรอ ไม่ยักกะจำได้ว่ารู้จักกันน่ะนะ" คำพูดกวนประสาทของ ฟุบูกิ ทำเอา อากาศ แจ่มใส แทบจะง้างหมัดชก แต่เขาก็ถูกปรามเอาไว้
คนที่มารั้งหมัดของ อากาศ เอาไว้เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ราว 185 c.m. เส้นผมสีน้ำเงินชี้ตั้งเสยไปด้านหลัง นัยน์ตาสีแดง ใบหน้ารูปไข่ สีหน้าจริงจัง จมูกโด่งเป็นแท่งตรง อายุของเขาประมาณ 24 ปี เขาเอ่ยขึ้นว่า "ใจเย็นๆ น่า เพื่อนพ้องกันทั้งนั้น จะลงไม้ลงมือกันทำไมเล่า เดี๋ยวหนูซึบาสะ โดนลูกหลงเข้าพอดี" ซึบาสะ ยิ้มแล้วตอบกลับทันทีว่า "ขอบคุณนะคะรุ่นพี่โฮชิโซระ เกือบจะโดนคุณอากาศชกซะแล้วนะคะเนี่ย" อากาศ สบัดมือของ โฮชิโซระ เท็ตสึยะ ออก "ก็ไม่ได้อยากชกหรอก แค่จะสั่งสอนพวกกวนโอ๊ยซะบ้าง"
ฟุบูกิ ยิ้มแห้งๆ แล้วพูดไปว่า " ผมก็ล้อเล่นน่ะครับ ทำไมผมจะจำคุณอากาศ แจ่มใส ไม่ได้กันล่ะ" ระหว่างที่นักบินคนอื่นราวๆ 15 คนกำลังขำขันกันตามประสา ฟุบูกิ หันไปเห็นสมาชิกฝูงบินคนหนึ่ง เธอเป็นหญิงสาวผมดำปรกหน้า แววตาดูเศร้าๆ เธอนั่งอยู่มุมหลังห้องคนเดียว กำลังเหม่อออกไปข้างนอก ผมของเธอไม่ยาวมากนักเป็นทรงบ็อบเทปาดขวาปิดใบหน้าไปครึ่งซีกนัยน์ตาสีเขียว ดวงตาโฉบเฉี่ยว รูปหน้ากลมคางเรียว เธอสูง 166 c.m. รูปร่างผอมเพรียว แต่มีเอกลักษณ์ที่รอยแผลเป็นมากมาย รอยแผลเป็นนั้นเป็นรอยเย็บยาวที่โหนกแก้มซ็าย และรอยที่สองยาวจากมุมปากซ้ายไปจนถึงติ่งหู
ฟุบูกิ จึงหันไปถาม ซึบาสะ "นี่คุณอะมาเทระ ผู้หญิงคนนั้นทำไมเธอถึงไม่ค่อยจะร่าเริงเหมือนคนอื่นๆ เลยล่ะ" ซึบาสะ หันตาม ฟุบูกิ ไปดูแล้วตอบว่า "เรล่า น่ะหรอ เธอเป็นแบบนี้แหละ ขี้อาย แล้วพูดไม่เก่งเท่าไร" "แล้วก็ เรียกชั้นว่า ซึบาสะ เถอะ ยังไงก็ต้องเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ชั้นก็ขอเรียกนายว่า ฟุบูกิ ก็แล้วกัน" ฟุบูกิ หันกลับมาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "อืม .... ซึบาสะ เรียกแบบนี้ดูสนิทสนมดี จะได้ไม่ห่างเหินกันด้วย" ระหว่างที่ ฟุบูกิ มอง เรล่า เธอก็เหลือบมาสบตากับ ฟุบูกิ เข้าพอดี เธอหน้าแดงก่อนจะหลบสายตาทันที ส่วน ฟุบูกิ ก็แอบตกใจรอยแผลเป็นจำนวนมากบนใบหน้าซีกขวาของเธอซึ่งดูสาหัสสากรรจ์มาก
เสียงทุบโต๊ะดังขึ้น "เอ้าๆ มากันพร้อมแล้ว ก็เข้าเรื่องกันได้เลยไอ้พวกลูกไก่ วันนี้เราจะไปซ้อมภาคสนามกัน" "เตรียมตัวรับภารกิจจำลองสุดโหดคราวนี้ไว้ได้เลย" ริงเก็ต พูดจบก็หาวหนึ่งฟอดก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ทว่านักบินส่วนมากกลับโอดครวญด้วยความขี้เกียจ ทำเอา ฟุบูกิ คิดในใจว่า "แบบนี้จะรอดมั้ยเนี่ย Lancelot"
.........................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 3:56:33 GMT
ทางเดินภายในอาคารบัญชาการ
นายทหารคนหนึ่งกำลังวิ่งไปตามทางอย่างรีบร้อน ร่างกายของเขาถูกดามเอาไว้ด้วยอุปกรณ์ Exoskeleton เส้นผมของเขาสีเทาชี้ตั้งยาวประมาณต้นคอ ดวงตาแสดงความมุ่งมั่นจริงจัง ปากและหน้าผากถูกปิดด้วยโลหะ เขามีอายุ 35 ปี ส่วนสูง 183 c.m. รูปร่างสมส่วน จมูกโด่งสันจมูกคมกริบ ร่างกายครึ่งหนึ่งมีเครื่องจักรปกคลุมไว้ ความเร็วในการวิ่งของเขาสูงมาก น้ำหนักเครื่องจักรบนร่างกายก็ส่งเสียงดัง พร้อมการสั่นสะเทือนตลอดทาง เขาวิ่งมาหยุดที่ประตูไม้คู่บานใหญ่ มีป้ายแปะเอาไว้หน้าห้องว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุด โนเอมี เฮ็นดริกส์ เขาไม่รอช้าที่จะกดปุ่มสัญญาณด้านข้างประตู แล้วพูดออกไป "เบนจามิน ฮันเตอร์ มีเรื่องด่วนรายงานครับท่าน" ไม่นานก็มีเสียงหญิงวัยสาวตอบกลับมาว่า "เชิญเข้ามาได้ คุณฮันเตอร์" แล้วประตูก็ปลดล็อคอัตโนมัติ
เมื่อ เบนจามิน ฮันเตอร์ ชายหนุ่มผู้ที่ร่างกายเต็มไปด้วยจักรกลเสริมแรง Exoskeleton เข้ามาในห้อง มีคนสองคนปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา คนหนึ่งเป็นหญิงสาวผมดำประบ่า หน้าตาดี และน่าเกรงขามนั่งอยู่ที่เก้าอี้ นัยน์ตาของเธอสีทอง ดวงตาค่อยข้างโต สีหน้าจริงจัง จมูกโด่ง เธอค่อนข้างมีอายุซึ่งดูแล้วจะประมาณ 41 ปี ส่วนสูงของเธออยู่ที่ 167 c.m. ถึงจะดูมีอายุ แต่รูปร่างของเธอก็ยังดูดีไม่ต่างไปจากสาววัยแรกรุ่น ใบหน้าของเธอมีริ้วรอยตามวัยเพียงเล็กน้อย ใบหน้ารูปไข่เรียวคางแหลม ผิวขาวนวลผ่อง
หญิงคนนี้นั่งอยู่โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยแฟ้มงาน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ดับโต๊ะหรูหรา พร้อมป้ายชื่อ แน่นอนว่าหญิงสาวคนนี้คือ โนเอมี เฮ็นดริกส์ ผู้บังคับบัญชาทหารสูงสุด ท่าทางของเธอดูสง่างามและเป็นผู้ดี แม้อายุของเธอจะไม่ใช่น้อยๆ แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็ยังดูสาวอยู่ ไม่บอกก็รู้ว่าเธอเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีมาก ส่วนอีกคนเป็นเด็กหนุ่มผมสีควันบุหรี่แววตาดุร้าย ยืนอยู่ข้างๆ เฮ็นดริกส์ เขาเป็นคนสนิทของเธออย่างแน่นอน "มีเหตุด่วนอะไรอย่างนั้นหรอ ฮันเตอร์ ปกติไม่เห็นนายจะรีบร้อนขนาดนี้" โนเอมี เฮ็นดริกส์ ถามขึ้น
"พบดาวหางขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5 กิโลเมตร ทิศทางการโคจรจะเข้าชนสถานีอวกาศครับ" "ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ว่าผลการปะทะจะทำให้สถานีอวกาศถูกทำลาย และมันพุ่งตกลงใส่ฐาน Aiacos" "ถ้าเราไม่รีบแก้ไขจะทำให้ฐาน Aiacos พินาศสิ้น กำหนดเวลาการพุ่งชนสถานีอวกาศอีก 2 สัปดาห์ครับท่าน" เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าที่ดูเรียบเฉย โนเอมี เฮ็นดริกส์ ก็เปลี่ยนไปทันที มันเต็มไปด้วยความกังวล "ฮันเตอร์ ถ่ายทอดคำสั่ง เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายช่วงบ่ายวันนี้ทันที" เฮ็นดริกส์ สั่งการ เบนจามิน ฮันเตอร์ รับคำสั่งแล้วก็รีบทำความเคารพก่อนจะออกจากห้องผู้บัญชาการทหารสูงสุดไปอย่างไม่รอช้า
โนเอมี หันไปหาเด็กหนุ่มคนสนิท "ชิเอล เธอช่วยไปนำข้อมูลทุกอย่างที่มีตอนนี้มาให้ชั้นก่อนเที่ยงด้วยนะ" "แบบนี้ท่าจะเรื่องใหญ่ ถ้าทำลายมันได้ก่อนเข้าชั้นบรรยากาศ Gliese ก็คงดี ถ้าไม่สำเร็จต้องมีแผนสำรอง" "ชั้นไม่อยากให้การตัดสินใจครั้งนี้ผิดพลาด รบกวนเธอแล้วล่ะนะ ขอด่วนที่สุดได้ก็ยิ่งดี" เธอพูดอย่างจริงจัง เด็กหนุ่มคนนี้สูงประมาณ 180 c.m. รูปร่างผอมเกร็ง เส้นผมสีขาว ทรงผมหัวเหล็กปรกหน้าผาก นัยน์ตาสีแดง ดวงตาเรียวยาวไร้อารมณ์ จุดเด่นของเขาคือมีผ้าสีแดงปิดปากของเขาเอาไว้ตลอดเวลา
เด็กหนุ่มชื่อ ชิเอล ไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าแล้วน้อมรับบัญชาของ โนเอมี เฮ็นดริกส์
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:01:20 GMT
EP2 : Operation Meteor ณ ห้องประชุมใหญ่กองทัพแห่ง Radamanthys
ภายหลังจากทราบการตรวจพบดาวหางขนาดใหญ่ที่มีวิถีการโคจรพุ่งเข้าชน Gliese บริเวณฐาน Aiacos โนอิมี เฮ็นดริกส์ จึงเรียกประชุมแผนรับมือในช่วงบ่ายของวันนั้นเองที่ห้องประชุมซึ่งขนาดใหญ่โต เจ้าหน้าที่ฝ่ายยุทธการระดับสูงพร้อมหัวหน้าฝูงบินที่ตารางภารกิจยังคงว่างอยู่ถูกเรียกตัวเข้าประชุม ในบรรดาเจ้าหน้าที่กว่า 30 คน และหัวหน้าฝู่งบิน 5 จาก 12 ฝูงบินมี ริงเก็ต และ มิเกล รวมอยู่ด้วย ส่วน ชิเอล และ เบนจาบิน ก็อยู่ในห้องประชุมนั้นในฐานะผู้ติดตามผู้บัญชาการทหารสูงสุด เฮ็นดริกส์
ฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลกลาง เริ่มทำการเปิดเผยข้อมูลของดาวหางที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาขึ้นจอภาพหน้าห้อง โตํะนั่งเป็นรูปตัว U หันหน้าเข้าหาจอภาพ โดยฝ่ายวิเคราะห์ยืนอยู่ด้านข้างขอจอภาพได้เริ่มรายงาน "ถ้าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายพร้อมแล้ว ผมขออนุญาตท่านผู้บัญชาการสูงสุดเริ่มการรายงานเลยนะครับ" "อย่างที่ทราบ สถานีอวกาศของเราตรวจพบดาวหางเส้นผ่าศูนย์กลาง 1,562 เมตร รูปทรงหยดน้ำ 1 ลูก" "มันกำลังพุ่งตรงมายัง Gliese 667CC ด้วยความเร็ว 455 เมตรต่อวินาที พร้อมด้วยสะเก็ดดาวหาง" "สะเก็ดของมันจะพุ่งเข้าหาเราก่อน ปริมาณของสะเก็ดดาวหางไม่สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ" "คาดว่าจะมีปริมาณถึง 4,000 ชิ้น แม้ว่ามันอาจจะถูกเผาไหม้ในชั้นบรรยาศไปเสียก่อนจะตกลงมาก็ตาม" "แต่หากมันชนเข้ากับสถานีอวกาศ หรือยานบินที่ออกปฏิบัติภารกิจ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เป็นสิ่งที่ต้องระวัง"
"ตัวดาวหางนั้นมีมวลหนาแน่นมาก จากการคำนวณแล้วคงไม่สามารถทำลายมันให้หมดไปได้แน่นอน" "เราคาดว่ามันคงเกิดจากการระเบิดของดาวเคราะห์ ทำให้เกิดสะเก็ดที่โคจรมาในแนววิถีเดียวกัน" "ตัวดาวหางยังคงเกิดการระเบิดและแตกตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดสะเก็ดดาวหางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย" "ดังนั้นเราจึงอยากให้ฝ่ายยุทธการหาวิธีในการเบี่ยงวิถีการโคจรของมันให้ออกห่างจากฐาน Aiacos" "อย่างน้อยที่สุดประมาณ 6,000 กิโลเมตร ถึงแม้จะห่างขนาดนั้น Aiacos ก็ยังคงได้รับความเสียหาย" "มันจะก่อให้เกิดการสนั่นสะเทือนราว 6.7 ริกเตอร์ และเกิดฝุ่นละอองปกคลุมทั่วน่านฟ้าราว 1 ปีโลก" "หน้าที่การแจ้งข้อมูลของผมคงจบลงเท่านี้ ขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายยุทธการต่อไป"
เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลกลางแถลงจบ เฮ็นดริกส์ ก็เริ่มสานต่อการประชุมเพื่อรับมือต่อ "จากข้อมูลที่ดิฉันได้รับมาแล้วนำมาวิเคราะห์ดู แนวทางในการทำลายมันก่อนจะเข้าชั้นบรรยากาศ" "เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฝ่ายพัฒนาอาวุธแจ้งมาว่า Gravitational Pulse Weapon ยังไม่เสร็จสมบูรณ์" "ถึงยืดเวลาออกไปอีก 2 สัปดาห์ซึ่งเป็นเวลาที่ดาวหางจะพุ่งชนดาวของเราก็ตาม การทำลายต้องตัดทิ้งไป" "คงจะเหลือแต่การเบี่ยงเบนวิถีวงโคจรให้จุดปะทะอยู่ห่างจากฐาน Aiacos มากที่สุดเท่าที่จะทำได้" "ใครมีแผนรับมือในการเบี่ยงเบนวงโคจรของดาวหางดวงนี้ ขอเชิญแสดงความคิดเห็นได้เลยค่ะ"
ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก นั่งครุ่นคิดท่ามกลางความเงียบของห้องประชุมก่อนจะเริ่มเสนอความคิดขึ้นมาว่า "เราจำเป็นจะต้องใช้ระเบิดปรมาณูสร้างแรงดันจากมุมใดมุมหนึ่งของมัน แรงดันระเบิดทั่วไปคงเอาไม่อยู่" เมื่อ ริงเก็ต กล่าวจบ มิเกล ก็เสริมต่อทันทีว่า "ระยะทางก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะยิ่งเราเริ่มเบี่ยงเบนวิถีได้เร็ว" "ระยะห่างของจุดปะทะของมันก็จะยิ่งห่างจากฐาน Aiacos การคำนวณวิถีปะทะ ต้องคำนวณแรงดึงดูดด้วย "ถ้าเบี่ยงเบนได้ 0.5 องศา จากระยะ 3,000,000 กิโลเมตร ตามระยะสายตาอาจดูว่ามันจะเคลื่อนตัวผ่านไป" "แต่หากคำนวณแรงดึงดูดของ Gliese แล้ว จะต้องเพิ่มการเบี่ยงเบนให้ถึง 1.5 องศา ซึ่งเป็นไปได้ยาก"
ริงเก็ต พยักหน้าเห็นด้วย แต่เขากลับแย้งขึ้นอีกว่า "เจ้าหน้าที่วัลดัส เป็นเด็กหนุ่มที่ปราศเปลื่องจริงๆ" "แต่ปัญหาก็คือ การเดินทางด้วยระยะทาง 3,000,000 กิโลเมตร เราจะต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 วัน" "ประกอบกับการส่งเจ้าหน้าที่ของเราขึ้นไปประจำการด้วยกระสวยขนส่ง ในการเตรียมความพร้อม" "เติมเชื้อเพลิงให้ยานรบอวกาศที่ขนขึ้นไป ติดตั้งหัวรบปรมาณู รวมถึงความพร้อมอื่นๆ ก็กินเวลาไปอีก 12 วัน" "ด้วยความเร็วของยานอวกาศที่เรามีตอนนี้ ดาวหางคงเลยจุดปะทะเบี่ยงเบนวิถีที่คำนวณเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน" "อีกทั้ง ถึงเราเร่งภารกิจให้ถึงจุดนั้นได้ภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ ก็ใช่ว่าจะเบี่ยงเบนวิถีของมันได้ถึง 1.5 องศา" "ประเด็นหลักคือเชื้อเพลิงขากลับจะเหลือไม่มากพอทำ Slingshot ที่ Gliese 667CD เท่ากับว่าเราส่งคนไปตาย"
หลังจาก ริงเก็ต กล่าวจบ เสียงฮือฮาและการถกเถียงก็เริ่มขึ้นระงม การประชุมก็ยังดำเนินต่อไป
.............................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:02:39 GMT
ลานซ้อมรบกองทัพ Radamanthys ภายในตัวโดม
ฟุบูกิ กำลังเดินเตะฝุ่นอยู่ข้างๆ สนามกีฬาหลังจากเขาคุมการซ้อมบินของฝูงบิน Lancelot เสร็จสิ้นแล้ว เนื่องจาก ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ผู้บังคับการฝูงบินถูกเรียกตัวเข้าประชุมด้วยจึง ฝากการคุมซ้อมเอาไว้ให้เขา นักบินฝูงบิน Lancelot เองก็เหน็ดเหนื่อยจากการซ้อมภารกิจอันโหดหินที่ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ทิ้งเอาไว้ จึงต่างพากันแยกย้ายกลับที่พัก แต่ อากาศ แจ่มใส ก็เดินมาพบกับ คามิโจ ฟุบูกิ เข้าพอดี
"วันนี้ทำได้ดีมากเลยนะไอ้ปวกเปียก ดูท่าชั้นคงประเมินนายต่ำไป" อากาศ พูดขึ้นขณะเดินตีคู่เข้ามา ฟุบูกิ เอียงคอเล็กน้อย "เอาจริงๆ คนที่แปลกใจคงเป็นชั้นมากกว่า ไม่คิดว่าพวกนายก็มีฝีมือไม่ใช่ย่อย" อากาศ หัวเราะร่า "อันนี้มันแน่นอนอยู่แล้วล่ะนะ ว่าแต่นายเองก็มีฝีมือการบินที่ใช้ได้อยู่ ไม่แสดงให้ดูทีล่ะ" คำตอบของ ฟุบูกิ คือ "เพราะว่าบินได้ไม่ดีเท่าพวกนาย การที่มาอยู่ฝ่ายยุทธการคงจะทำประโยชน์ได้มากกว่า" อากาศ ตบไหล่เบาๆ "การบินน่ะมันเป็นศิลปะ รู้มั้ย แถมยังทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีอิสระ นายไม่ชอบหรอ" "ถ้าสนใจอยากกลับมาบิน บอกชั้นได้นะ ชั้นจะเป็นเทรนเนอร์ให้นายเอง นายไม่เห็นเลขนักบินของชั้นรึไง" ฟุบูกิ ยิ้มแห้งๆ "Lancelot 01 น่ะนะ ไม่ยักกะจะรู้ว่าไอ้เลข 01 นี่หมายความว่าบินเก่งกว่าชาวบ้านเขาน่ะ" อากาศ ขมวดคิ้ว "นี่ไม่รู้จริงๆ รึไงว่า 01 หมายถึงอันดับ 1 ของฝูง ชั้นได้เลขนี้มาตลอดตั้งแต่อยู่ Aiacos แล้ว"
ระหว่างที่ อากาศ แจ่มใส กำลังอวดอ้างสรรพคุณและประวัติของตัวเองอยู่นั้น ฟุบูกิ ก็หยุดเดิน เขาเห็น อะมาเทระ ซึบาสะ สะพายเป้เดินซึมๆ อยู่ข้างหน้า "นี่ ซึบาสะ จะไปไหนน่ะ จะกลับบ้านเลยหรอ" ซึบาสะ หันกลับมา เธอหยุดเดินจน ฟุบูกิ และ อากาศ เดินตามมาทัน "ชั้นไม่รู้จะไปไหนต่อ เลยว่าจะกลับค่ะ" สีหน้าของเธอจากดูซึมๆ กลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง เธอพูดต่อไปว่า "วันนี้ ฟุบูกิ สุดยอดไปเลยนะ เก่งจริงๆ" ฟุบูกิ เกาหัวทำท่าเขินๆ "ก็ไม่เท่าไรหรอกน่า โจทย์วันนี้ไม่ยาก แค่คิดง่ายๆ ทำง่ายๆ แต่ตัวนักบินสิเก่งจริง" อากาศ ขมวดคิ้ว "เห้ยๆ เมื่อกี้ตอนชั้นชมไม่เห็นจะเขินเลย ทีสาวชมหน่อยเขินตัวบิดเลยนะไอ้ปวกเปียก" ฟุบูกิ หันกลับไปค้อนนิดๆ ในขณะที่ ซึบาสะ หัวเราะอย่างร่าเริง ทำเอา ฟุบูกิ ลืมความโกรธไปได้ในทันที
และแล้วนักบินฝูงบิน Lancelot อีกคนก็เดินตามเข้ามาสมทบอีกคน เขาก็คือ โฮชิโซระ เท็ตสึยะ "เอ้าๆ สนุกสนานกันใหญ่เลยนะเด็กๆ ว่าแต่วันนี้เป็นวันประจำการวันแรกของ คามิโจ เราน่าจะฉลองกันนะ" เท็ตสึยะ พูดจบ ซึบาสะ มีท่าทางดีใจ เธอหันมาหา ฟุบูกิ ก่อนจะพยักหน้าโน้มน้าม ฟุบูกิ ให้เห็นด้วย แต่ในใจ ฟุบูกิ น่ะพร้อมใจจะไปตั้งแต่ที่ เท็ตสึยะ เอ่ยปากแล้ว เพียงแค่เก็บอาการไม่ให้ดูน่าเกลียดเท่านั้น ส่วนเจ้าอากาศ เดินไปกอดคอ เท็ตสึยะ แล้วพูดว่า "ถ้ารุ่นพี่โฮชิโซระ จะเลี้ยงมื้อนี้ล่ะก็ ไม่ปฏิเสธหรอกนะ" เท็ตสึยะ ยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ "ในฐานะพี่ใหญ่ของฝูงบิน ก็คงจะต้องเป็นคนเลี้ยงพวกนายอยู่แล้ว" "ดึล่ะ พวกเราไปกันเลย ฮู่ว" ซึบาสะ เดินอ้อมมาด้านหลังก่อนจะใช้มือสองข้างผลักหลัง ฟุบูกิ ให้รีบเดิน
ไม่นานทั้ง 4 คนก็มานั่งทานเนื้อย่างโซนอยู่อาศัย
แม้มันเป็นร้านเนื้อย่างเล็กๆ ใช้โต๊ะและตกแต่งด้วยไม้สังเคราะห์ มีโต๊ะรองรับลูกค้าได้ราวๆ 20 คนเท่านั้น แต่ลูกค้ากลับนั่งกันแน่นเต็มร้าน เพราะร้านนี้ใช้เนื้อวัวแท้ ไม่ใช้เนื้อเทียมเหมือนร้านอื่น ทำให้ราคาอาหารสูงมาก ทั้ง 4 คน ย่างเนื้อทานกันอย่างเอร็ดอร่อย ฟุบูกิ กินไปก็มอง ซึบาสะ ไปราวกับเขาเริ่มหลงเสน่ห์ของเธอเข้าแล้ว "พวกนายนี่จริงๆ เลยนะ พอบอกเลี้ยงเท่านั้นล่ะ เลือกร้านที่แพงที่สุดในย่านนี้เลย" เท็ตสึยะ บ่นๆ ซึบาสะ ที่กำลังเคี้ยวเนื้ออยู่ก็พูดขึ้นว่า "แหม นานๆ ทีจะได้เลี้ยงน้อง คิดอะไรมากคะ" ทำเอา เท็ตสึยะ ยิ้มแห้งๆ อากาศ ที่ทานจนอิ่มแล้วชี้ไปที่ ฟุบูกิ "ดูไอ่หมอนี่สิ กินยังกะไม่ได้กินอะไรมาสิบปี" แต่ ฟุบูกิ ไม่สนใจและกินต่อไป
ระหว่างนั้น เท็ตสึยะ ก็ถามขี้นว่า "พวกนายเคยออกไปนอกอวกาศกันบ้างไหม" แต่ทุกคนก็ส่ายหน้า เขาจึงเริ่มเล่าต่อไปว่า "พอดีชั้นเคยมีประสบการณ์นอกอวกาศมาบ้าง เลยว่าจะเล่าให้ฟังหน่อย" "เพราะถ้ามีโอกาส พวกนายจะต้องได้ออกบินบนเครื่อง Spacemobile ซึ้งมันพิเศษเอามากๆ เลยล่ะ" "ใช้โครงพื้นฐานเหมือนหุ่นแรงงาน Humannoidmobile แต่ติดตั้งระบบท่อขับดันที่หลัง ปลายขา และบนไหล่" "มันทำให้ Spacemobile สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระในอวกาศ และยังมีถังออกซิเจนสำรองอีกด้วย" "ถ้าพวกนายได้ลองอยู่บนเครื่องนั้นสักครั้งแล้วล่ะก็ จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุดๆ"
โฮชิโซระ เท็ตสึยะ ได้เล่าประสบการณ์ของเขาต่อไป โดยมีรุ่นน้องทั้ง 3 คนฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
.............................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:04:21 GMT
ณ ห้องประชุมใหญ่กองทัพ Radamanthys
หลังจาก เจ้าหน้าที่ได้ถกเถียงราว 2 ชั่วโมงเพื่อหาข้อยุติสำหรับแผนปฏิบัติการยุดยั้งหายนะจากดาวหาง
มิเกล ตัดบทขึ้นว่า "ปัญหามันเป็นอย่างที่เจ้าหน้าที่รีเซ็นเบิร์ก ว่าจริงๆ นั่นแหละครับ ความเสี่ยงมีมากเกินไป" "ผมจึงขอเสนอให้ใช้ระเบิดปรมาณูจำนวน 12 ลูก กองบินอย่างน้อย 3 ฝูงบิน ออกบินภายใน 7 วัน" "เตรียมการขนเชื้อเพลิง เสบียงอาหาร กำลังพล หัวรบปรมาณู ขึ้นไปให้พร้อมไว้ก่อนที่สถานีอวกาศ" "เราจะใช้สถานีอวกาศเป็นจุดรวมกองบิน แล้วใช้แรงขับจากยานรบที่จอดรออยู่พาทั้งสถานีเดินทางออกไป" "เราจะหยุดสถานีอวกาศไว้ที่ระยะ 200,000 กิโลเมตร จากนั้นก็ส่งยานรบอวกาศทั้ง 3 กองบินออกปฏิบัติการ" "ด้วยระยะห่างเพียง 200,000 กิโลเมตร เราอาจจำเป็นต้องเบี่ยงเบนวิถีวงโคจรให้ได้ถึง 9 องศา"
เฮนดริกส์ ดูสถานการณ์ภายในห้องประชุม ซึ่งเริ่มเงียบลงมีเพียงเสียงซุบซิบแลกเปลี่ยนความคิดกันเบาๆ เธอก็ตัดสินใจสรุปผลทันที "เอาตามที่เจ้าหน้าที่วัลดัส กล่าวมาก็แล้วกัน ดูเหมือนเรามีทางเลือกไม่มากนัก" "ถ้าเป็นไปได้ ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งมือหน่อยนะคะ เราจะพลาดไม่ได้เป็นอันขาด" "สำหรับกรณีเบี่ยงเบนวิถีการโคตรของดาวหางไม่สำเร็จ ดิฉันจะแย้งให้ Aiacos ทำการย้ายที่ตั้งฐานใหม่" "ถึงการย้ายที่ตั้งจะทำได้เพียงครั้งเดียวเมื่อฐานลงจอด แต่กรณีนี้คงเป็นเหตุจำเป็น พวกเขาคงไม่ปฏิเสธ" "การตรวจสอบการปล่อยกระสวยขึ้นไปยังสถานีอวกาศขอให้ทำอย่างถี่ถ้วน ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี" "วันนี้ดิฉันขอปิดประชุมด่วนในครั้งนี้แต่เพียงเท่านี้ ใครมีอะไรเพิ่มเติมขอให้แจ้งเข้ามาได้ทันที" "แล้วอีกอย่าง.....ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เข้าประชุมในครั้งนี้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แสตนด์บายตลอดเวลา"
เมื่อการประชุมจบลง เจ้าหน้าที่ที่เข้าประชุมต่างเริ่มทะยอยออกไป
หญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดเหมือนช่างเครื่อง เดินสวนฝูงชนที่ออกจากห้องประชุมเข้ามา เธอเป็นหญิงสาวที่มีร่างกายแข็งแรง เส้นผมสีชมพูยาวตรงแต่มัดไว้เพื่อความสะดวกในการทำงานของเธอ แววตาสีฟ้าของเธอดูมีความมุ่งมั่น ท่าทางการเดินของเธอออกจะเหมือนผู้ชายเสียมากกว่า ร่างกายมอมแมม เธอเดินตรงไปหา เฮ็นดริกส์ ในขณะที่ ชิเอล และ เบนจามิน กำลังจะก้าวเข้าไปขวางหล่อน แต่กลับถูกห้ามไว้ เฮนดริกส์ ปล่อยให้หญิงสาวคนนี้เดินเข้ามาหา และเธอก็ส่งสัญญาณมือให้ ชิเอล และ เบนจามิน ออกไป
โนเอมี เฮ็นดริกส์ ซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธาน ส่งสัญญาณมืออีกครั้งให้สาวร่างมอมแมมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ "คงรู้ใช่ไหมว่าดิฉันเรียกคุณมาพบทำไม เจ้าหน้าที่ชิราโออิ....โปรเจ็ค GPW กับเครื่องจักรรุ่นใหม่ไปถึงไหนแล้ว" หญิงสาวผมสีชมพูที่ชื่อ ชิราโออิ เธอมีแถบติดอยู่ที่เสื้อระบุตำแหน่งของเธอคือ หัวหน้าฝ่ายวิจัยพัฒนาอาวุธ เส้นผมสีชมพูเส้นตรงทรงบ็อบเท เธอถักเปียร์หนึ่งเส้นยาวออกจากต้นคอมาถึงเอว นัยน์ตาสีฟ้าอ่อน ดวงตากลมโตดูน่ารัก ใบหน้าเรียว ผิวขาว สูง 168 c.m. รูปร่างดี ดูแล้วไม่น่าจะเป็นช่างหรือวิศวกรได้ ท่าทีของเธอจากดูมั่นๆ กลายเป็นแสดงอาการทำอะไรไม่ถูก เธอยิ้มแห้งๆ ก่อนจะตอบ เฮ็นดริกส์ ไปว่า "เรื่องปืนแรงโน้มถ่วง GPW ที่ติดตั้งไว้บนสถานีอวกาศมันก็น่าจะใช้งานได้แล้ว แต่ยังไม่ได้ทดสอบเลยค่ะ" "ถ้าหากรีบใช้งาน ยังไม่ทราบว่าตัวต้านทานจะทนกำลังไฟฟ้าได้มากน้อยแค่ไหน แถมพลังงานที่ใช้ก็เยอะมาก"
"ส่วน Valkyria Project ดัดแปลงเครื่องบินรบเข้ากับหุ่นยนต์ใช้แรงงาน Humanoidmobile นั้นก้าวหน้าขึ้นค่ะ" "แต่ยังประสบปัญหาบางประการ เนื่องจากโครงสร้างของ Humanoidmobile หุ่นใช้งานรูปร่างคนนั้นหนักมาก" "การจะทำให้มันเปลี่ยนรูปร่างเป็นเครื่องบินรบเพื่อรองรับภารกิจที่หลากหลายแบบ Multi-Role จึงค่อนข้างลำบาก" "ทางเรากำลังตัดสินใจตัดอุปกรณ์บางอย่างทิ้งไปบ้าง เช่น อุปกรณ์ความปลอดภัย ระบบดีดตัว และชุดเกราะ" "คาดว่าอีกไม่นานคงจะเริ่มผลิตรุ่นต้นแบบออกมาทดสอบในการปฏิบัติภารกิจและใช้งานจริงได้ค่ะ"
เฮ็นดริกส์ พยักหน้า "ดูเหมือนการใช้งาน GPW จะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำในตอนนี้สินะ....เธอไปได้แล้ว" เมื่อ เฮ็นดริกส์ พูดจบ ชิราโออิ ก็รีบลุกจากเก้าอี้ก่อนจะทำความเคารพและออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน
.............................................................
ลานซ้อมรบอีกมุมหนึ่งของเขตทหารนอกตัวโดม
ฝูงบิน Galahad กำลังซ้อมรบกันอย่างขันแข็งด้วยเครื่องบินรบ CFA-44 Nosferatu รุ่นที่ใช้ประจำการ ฮิคารุ ไชคอฟสกี้ บนเครื่องหมายเลข 01 กำลังบินขับไล่กับ มาร์คัส บนเครื่องหมายเลข 02 อย่างสูสี นักบินคนอื่นที่บินอยู่รอบๆ ต่างพากันดูการดวล Dog-Fight ที่เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของการบินแล้วก็ว่าได้ เพราะทั้งสองนั้น ถือเป็นนักบินที่จัดว่าเก่งกาจที่สุดของกองทัพ Radamanthys ในขณะนี้ หน้าจอของนักบินที่บินดูนั้นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาถูกแบ่งเป็น 2 ทีม และทั้งหมดก็ถูกขจัดไปหมดแล้ว
วิมีน่า คุมการบินของทีม ฮิคารุ และ เอเรียส คุมการบินของทีม มาร์คัส อยู่ที่หอสังเกตการณ์ด้านล่าง แต่พวกเขากลับไม่ได้สนใจในแผนการบินเอาเสียเลย โดยเฉพาะ วิมีน่า เธอเอาแต่นั่งดู Tablet ส่วน เอเรียส นั่งจับจ้องดูแต่การบินของ Ace Pilot ทั้งสองคน ในใจเขาอยากเห็นฝีมือที่แท้จริงของทั้งคู่ เลยไม่ได้ออกคำสั่งในการรบ เพราะมันอาจทำให้ทีมของ มาร์คัส ได้เปรียบ เมื่อเขาดูจนพอแล้วก็ลุกขึ้น เอเรียส หันกลับมาที่ วิมีน่า เขาจำได้ว่าเธอนั่งดูแต่ Tablet ตั้งแต่เข้ามานั่งในห้องนี้ แล้วตอนนี้ก็ยังดูอยู่
"ดูอะไรของเธออยู่น่ะ วิมีน่า เห็นนั่งอมยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่นานแล้ว" เอเรียส พูดด้วยความสนิทสนม วิมีน่า ละสายตาขึ้นมาด้วยการมองแรง "ใครกันเหมือนคนบ้า นายไม่รู้หรอคนบ้าต่างหากที่คิดว่าคนอื่นบ้า" เธอยก Tablet ขึ้นมาให้ เอเรียส ดูพร้อมกับพูดว่า "ชั้นดูประวัติของ มิเกล อยู่ตะหากล่ะยะ" หน้าจอนั้นแสดงรูปของ มิเกล วัลดัส พร้อมประวัติของเขาซึ่งแสดงสรรพคุณอันยาวเหยียดจนลายตา "ไม่เห็นหรอว่าผู้บังคับการคนใหม่ของเราเจ๋งแค่ไหน แถมหล่ออีกต่างหาก ไม่เหมือนเด็กเกรียนแถวนี้" เอเรียส แสดงท่าทีไม่พอใจนิดๆ "น้อยๆ หน่อยแม่คุณ ชั้นไม่ใช่เด็กนะโฟ่ย หมอนั่นตะหากที่เป็นตัวอันตราย"
คำพูดของ เอเรียส ทำให้ วิมีน่า เกิดความสงสัย เอเรียสเห็นดังนั้น จึงเริ่มอธิบายต่อไป "หมอนั่นเป็นลูกชายของ มานูเอล วัลดัส อดีต Ace Pilot ที่เรียกได้ว่าเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์" "ที่อันตรายก็คือ หมอนั่นนิสัยเหมือนพ่อของเขาเลย...ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ผลสำเร็จที่ดีที่สุด" "ไม่เลือกวิธีการ แม้จะต้องสละชีวิตของลูกน้องไปกี่คนก็ตาม ถึงช่วงหลังก่อนที่ มานูเอล จะตาย" "มีข่าวลือว่าฝีมือการบินเขาตกลงไป และสภาพจิตใจย่ำแย่ เพราะเสียลูกสาวคนเล็กไปก็ตาม" "แม้ต่อมาเขารับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ท่าทีของเขาได้ดูอ่อนโยนลงก็ตามทีเถอะนะ" "แต่มันไม่ได้ทำให้ มิเกล วัลดัส เปลี่ยนไปด้วย หมอนั่นกลับยึดติดกับความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นเสียอีก"
วิมีน่า นั่งฟัง เอเรียส อธิบายอย่างตั้งใจ แต่เธอก็พูดปิดบทสนทนาว่า "นั่นแหละ spec ชั้นเลย"
.............................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:05:28 GMT
10 วันต่อมา
สถานีอวกาศซึ่งเป็นเหมือนฐานจอดเรือรบอวกาศขนาดยักษ์ ได้เชื่อมต่อกับเรือรบ 3 ลำเอาไว้อยู่ มันใช้แรงขับดันจากเรือรบทั้ง 3 ในการเคลื่อนที่จนมาถึงจุดตั้งมั่นที่ระยะ 200,000 กิโลเมตรห่าง Gliese 667CC ฝูงบินที่เข้าปฏิบัติภารกิจประกอบไปด้วยฝูงบิน Triston Galahad และ Lancelot ประจำที่เรือรบอวกาศทั้งสาม นักบินของฝูงบิน Triston และ Galahad ดูเหมือนจะทำตัวได้ปกติสุขเอามากๆ นั่นก็เพราะว่าทั้งสองฝูงบินนี้ เป็นฝูงบินที่ถูกเรียกมาปฏิบัติหน้าที่บนอวกาศบ่อยที่สุด พวกเขาจึงมีความชำนาญกับสภาพแวดล้อมข้างบนนี้มาก ในขณะที่นักบินและเจ้าหน้าที่ของ Lancelot ดูเหมือนจะค่อนข้างตื่นสนามรบพอสมควร ทำอะไรก็ยังดูติดขัดไปหมด
เมื่อทุกคนเข้าประจำเครื่อง Spacemobile ของตัวเองแล้ว ยานรบทั้งสามลำก็แยกตัวออกจากสถานีอวกาศ มันเริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าเข้าหาดาวหาง ระหว่างนั้นปืนใหญ่ Railgun เริ่มยิงกระสุนมวลหนักออกไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำลายสะเก็ดดาวจำนวนมาก เพราะหากโดนมันชนที่ความเร็วสูงเพียงครั้งเดียว หายนะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฝูงบิน Lancelot มี ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก บัญชาการอยู่ที่ยานรบ โดย ฟุบูกิ ซึบาสะ อากาศ เท็ตสึยะ เรล่า ประจำในหุ่น พร้อมๆ กับนักบินคนอื่นในฝูงบินราวๆ 20 นาย แม้จะดูประหม่าจนเหงื่อตก แต่แววตาทุกคนมีความมุ่งมั่นมาก ส่วนฝึงบิน Galahad มี มิเกล วัลดัส บัญชาการอยู่ที่ยานรบลำที่ 2 โดย วิเมน่า ฮิคารุ มาร์คัส เอเรียส ประจำในหุ่น จำนวนหุ่น Spacemobile ของทั้ง 3 ฝูงบินมีปริมาณเท่าๆ กัน ทุกคนพร้อมดำเนินการตามแผน แค่ออกคำสั่งเท่านั้น
"จากทริสตัน ผมจะขอดำเนินการตามแผนแรก Spacemobile ออกปฏิบัติการ" ผู้บังคับการ Triston เริ่มสั่งการ ด้วยความที่เป็นฝูงบินผู้ชำนาญการด้านอวกาศมากที่สุด Tristan จึงรับหน้าที่ดำเนินการตามแผนแรกก่อนเพื่อน แม้ว่าฝูงบิน Tristan จะเป็นฝูงบินที่ได้ออกอวกาศบ่อยที่สุด ก็ยังมีอัตราการตายของนักบินมากที่สุดด้วยเช่นกัน พวกเขาเริ่มดำเนินการตามแผนโดยการเร่งท่อขับดันของยานรบออกไปด้านหน้า และไม่นานก็ถึงระยะยิง Tristan ยิงจรวดปรมาณูที่อยู่ในรังเพลิงออกไปทั้งหมด 4 ลูกอย่างไม่รอช้า จรวดดังกล่าวมีความเร็วที่สูงเหลือเชื่อ เพียงแค่ 5 นาที มันก็จะเข้าใกล้ดาวดาง ในขณะที่ Spacemobile 25 เครื่อง เริ่มทำการยิงสะเก็ดดาวหางที่นำมาก่อน ความเร็วของสะเก็ดดาวหางนั้นสูงมาก เมื่อเริ่มปะทะ ก็มี Spacemobile จำนวนหนึ่งที่ยิงสะกัดไม่สำเร็จถูกทำลาย มันถูกชนจนยับยู่ยี่ ร่างของนักบินบางคนถูกอัดจนฉีกกระจาย บ้างก็ลำตัวขาดจนไส้ลอยไปมา เลือกสาดกระจายไปทั่ว บ้างก็ถูกอัดจนศีรษะระเบิด สมองกระเด็ดเป็นเศษไขมันลอยล่อง ลูกตาหลุดลอยห้อยไปมา เป็นภาพที่ไม่น่าดู
ผ่านไป 5 นาที จรวดปรมาณูถึงตำแหน่งจุดระเบิด แต่ทว่าหน้าจอกลับแสดงผลว่าขาดการติดต่อจากจราดทั้ง 4 ลูก ข้อมูลทั้งหมดถูกแชร์ไปยังยานรบ Lancelot และ Galahad ทำเอาทุกคนในห้องบัญชาการต้องตกตะลึง "บ้าน่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจรวดของเราถึงหายไป สัญญาญการระเบิดก็ไม่มี" ริงเก็ต อุทานขึ้นเสียงดัง มิเกล ขมวดคิ้วแล้ววิเคราะห์ "ผมคาดการณ์ว่ารอบดาวหางมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแปรปรวน ทำให้ระบบจุดระเบิดขัดข้อง" "แบบนี้ก็แย่น่ะสิ แสดงว่าระเบิดปรมาณูไม่อาจระเบิดได้ภายในระยะที่คำนวณเอาไว้" ริงเก็ต กัดฟันพูด มิเกล พยักหน้าตอบรับผ่านการสื่อสารด้วยจอภาพ "อย่าแรกเราต้องรู้ขอบระยะของคลื่น และความเสถียรของมัน" "ไม่งั้นคงคำนวณแรงระเบิดกับระยะห่างในการจุดระเบิดไม่ได้แน่ เราต้องลองยิงจรวดออกไปอย่างน้อย 3 อีกลูก" แต่เสียงของผู้บัญชาการ Tristan กลับพูดสวนกลับมาว่า "ไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าทำแบบนั้นปริมาณระเบิดอาจไม่พอ" ริงเก็ต ทุบที่วางแขนพร้อมกับปลดเข็มขัดรัดตัวลุกขึ้นมายืน "แล้วจะให้ทำยังไงกันล่ะ ทริสตัน ถ้าไม่ให้ลองยิงอีกครั้ง"
ผู้บังคับการ Tristan นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ฝากทริสตันด้วย..พวกคุณคอยเก็บข้อมูลก็แล้วกัน" หลังจากนั้นไม่นาน เรือชูชีพ หน้าตาเหมือนกระสวยขนาดเล็ก ก็ถูกส่งออกไป มันเร่งความเร็วเข้าหาดาวหาง "เอาล่ะ มาดูกันว่าเจ้าดาวหางนี้มันจะแน่ซักแค่ไหน!!" ผู้บังคับการ Tristan พูดขึ้น เพราะเขาคือนักบินกระสวยนั่นเอง เหตุที่เขาต้องบินด้วยตนเองเพราะเขาไม่อยากสละชีวิตของนักบินคนอื่น และไม่ได้มีการเตรียม Space Drone เอาไว้ เขาจึงต้องแบกรับภารกิจพลีชีพในครั้งนี้ แม้ว่าลูกน้องในหน่วยจะพยายามห้ามปรามแล้วก็ตามที ริงเก็ต มีท่าทียอมรับความจริงด้วยความเศร้าใจพร้อมสั่งเจ้าหน้าที่เริ่มเก็บข้อมูลเชื่อมต่อกับกระสวย ส่วน มิเกล รู้สึกเฉยๆ
ไม่นานข้อมูลก็แสดงผลลักษณะของคลื่นแม่เหล็กที่ทำการรบกวนระบบไฟฟ้า พร้อมกับการปะทะเล็กๆ ที่ผิวของดาวหาง
つづく.
|
|